ส้วมเฉพาะกิจ ปลดทุกข์ ผู้ประสบภัยน้ำท่วม
 จากสถานการณ์น้ำท่วมที่กำลังวิกฤติอย่างมากในขณะนี้ ส่งผลให้บรรดาประชาชนหลายภูมิภาคต่างเดือดร้อน ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย การคมนาคม บ้านเรือนเสียหาย ที่ทำมาหากิน ต่างจมหายลงไปในพริบตา... และถึงแม้ว่า จะมีธารน้ำใจหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งเงินทอง ทั้งอาหารที่มาช่วยบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ประสบภัย แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมต้องการมากพอ ๆ กับอาหาร และที่อยู่อาศัย นั่นก็คือ "ห้องน้ำ"           ...ผู้ประสบภัยจะทราบกันเป็นอย่างดีว่า เวลาน้ำท่วม การขับถ่าย จะเป็นไปอย่างยากลำบาก ทั้งปัญหาน้ำในส้วมล้นเอ่อขึ้นมา บางบ้านห้องน้ำถูกน้ำท่วมจนมิดไม่สามารถขับถ่ายได้  วันนี้คุณ Diamondoid แห่งเว็บไซต์พันทิป ได้มีไอเดียมาเนรมิต "ส้วมเฉพาะกิจ" แบบง่าย ๆ มาแนะนำให้ผู้ประสบภัยกันค่ะ งบประมาณของ "ส้วมเฉพาะกิจ" สนนราคาอยู่ที่ 200 บาท โดยมีอุปกรณ์ และวิธีการทำดังต่อไปนี้... เก้าอี้พลาสติกไม่มีพนักพิง (ที่รองรับน้ำหนักได้ และมั่นคง)  1 ตัว ถุงดำขนาด 30x40 นิ้ว จุลินทรีย์ EM สำหรับดับกลิ่น 1 ขวด กระดาษทิชชู่ ตัวหนีบ 4 ตัว ยางรัด
1 มกราคม 2557     |      3653
การลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า 54
ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านตามทะเบียนบ้าน แต่ต้องเดินทางออกนอกเขต และไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ในวันเลือกตั้ง สามารถไปแสดงตนเพื่อขอลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. ล่วงหน้า  ที่เลือกตั้งกลางในเขตเลือกตั้งนั้นๆ  โดยต้องยื่นคำขอลงทะเบียนนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่น ตามวันเวลาที่กำหนด ระยะเวลาการลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้ง ตั้งแต่วันที่ 13-17 มิถุนายน 2554 ณ ที่ว่าการอำเภอ และที่ทำการทะเบียนท้องถิ่น โดยยื่นต่อนายทะเบียนอำเภอ / นายทะเบียนท้องถิ่น (ผู้อำนวยการสำนักงานเขตของ กทม., นายอำเภอ หรือปลัดเทศบาล)การลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า นอกเขตจังหวัด ผู้ที่ประสงค์จะขอเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัดนั้น จะต้องลงทะเบียนการใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตจังหวัด (แบบ ส.ส. 42) ซึ่งสามารถขอรับได้ที่ว่าการอำเภอทุกแห่งหรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือก ตั้งประจำจังหวัด หรือ Download จากที่นี่ http://www2.ect.go.th/download.php?Province=mp54&SiteMenuID=7128ทั้งนี้ ประชาชนสามารถยื่นเอกสารขอเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัดรวมกันเป็นกลุ่มได้ โดยใช้คำแบบ ส.ส.42/ก หรือ ทำเป็นหนังสือที่มี ชื่อ-สกุล เลขประจำตัวประชาชน ที่อยู่ตามหลักฐานทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้ง และจังหวัดที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านครั้งสุดท้ายเป็นเวลาไม่น้อย กว่า 90 วัน วิธีการยื่นคำขอลงทะเบียนนอกเขตจังหวัด      - ยื่นต่อนายทะเบียนอำเภอ / นายทะเบียนท้องถิ่น (ผู้อำนวยการสำนักงานเขตของ กทม., นายอำเภอ หรือปลัดเทศบาล)      - ยื่นด้วยตนเอง      - ทำหนังสือมอบหมายให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอื่นดำเนินการแทน      - ส่งทางไปรษณีย์ (ดูตราประทับต้นทางเป็นสำคัญ) ระยะเวลาการลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตเลือกตั้ง      - วันที่ 19 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2554
1 มกราคม 2557     |      4779
10 บัญญัติ การประหยัดน้ำมัน
1. ขับรถไม่เกิน 90 ก.ม./ชม.ความเร็วสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้ ทางธรรมดา 90 กม./ชม. ทางด่วน 110 กม./ชม. มอเตอร์เวย์ 120 กม./ชม. 2. จอดรถไว้บ้าน โดยสารสาธารณะถ้าผู้ใช้รถยนต์ร้อยละ 1 จากจำนวน 5 ล้านคัน หันมาใช้บริการรถสาธารณะ ด้วยระยะทาง 48 กม./วัน ใน 1 ปี (260 วันทำงาน) จะประหยัดน้ำมัน 52 ล้านลิตร คิดเป็นค่าน้ำมัน 780 ล้านบาท 3. ไม่ขับก็ดับเครื่องการติดเครื่องยนต์จอดอยู่เฉยๆ เป็นเวลา 5 นาที สิ้นเปลืองน้ำมันโดยเปล่าประโยชน์ 500 ซีซี 4. ทางเดียวกันไปด้วยกันถ้าขับรถยนต์ 5 คัน ไปทางเดียวกัน ที่หมายใกล้กัน ระยะทาง 48 กม./คัน (ไป-กลับ) ใน 1 ปี (260 วันทำงาน) จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 5,200 ลิตร คิดเป็นค่าน้ำมัน 78,000 บาทถ้าร้อยละ 1 ของรถยนต์ 5 ล้านคัน ใช้ Car Pool สลับขับ 5 คน ต่อรถ 1 คัน ใน 1 ปี จะประหยัดน้ำมันได้ 41.6 ล้านลิตร คิดเป็นเงิน 624 ล้านบาท5. หลีกเลี่ยงชั่วโมงเร่งด่วนถ้ารถติดเพียงร้อยละ 1 ของ จำนวนรถยนต์ 5 ล้านคัน ในวันทำงานทุกวัน และในบางเสาร์-อาทิตย์ ใน 1 ปี (330 วัน/ปี) จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 12.4 ล้านลิตร คิดเป็นค่าน้ำมัน 186 ล้านบาท 6. ใช้โทรศัพท์-โทรสารเลี่ยงรถติดใช้อุปกรณ์สื่อสารแทนการเดินทาง เช่น ส่งหนังสือระหว่างหน่วยงาน หากเร่งด่วนก็ใช้วิธีส่งทางโทรสาร หากเป็นเอกสารสำคัญก็ใช้วิธีรวบรวมเอกสารแล้วส่งพร้อมกัน หนังสือเวียนที่ไม่สำคัญก็ใช้วิธีส่ง E-Mail หรือส่งไปรษณีย์7. วางแผนก่อนเดินทางถ้าไม่ศึกษาเส้นทางก่อนเดินทาง และขับรถหลงทาง 10 นาที จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 500 ซีซี คิดเป็นค่าน้ำมัน 7.50 บาทถ้ารถยนต์ 5 ล้านคัน ขับหลงทาง เฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง ใน 1 ปี จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 30 ล้านลิตร คิดเป็นค่าน้ำมัน 450 ล้านบาท8. ลมยางต้องพอดี ไส้กรองต้องสะอาดความดันลมยางอ่อนกว่ามาตรฐาน 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ถ้าขับทุกวันเฉลี่ยวันละ 48 กม. ใน 1 เดือน รถยนต์ - สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 2.4 ลิตร รถจักรยานยนต์ - สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 1.2 ลิตร รถบรรทุก - สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 4.2 ลิตรถ้าร้อยละ 30 ของรถแต่ละประเภท ละเลยเช่นนี้บ่อยๆ รวมเป็น 30 วัน/ปี จะสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 5.8 ล้านลิตร คิดเป็นเงิน 87 ล้านบาทถ้าไส้กรองสะอาด จะช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันวันละ 65 ซีซี ควรทำความสะอาดทุก 2,500 กม. ควรเปลี่ยนทุก 20,000 กม. 9. ไม่บรรทุกของเกินจำเป็นหากขับรถโดยบรรทุกของที่ไม่จำเป็น ประมาณ 10 ก.ก. เป็นระยะทาง 25 ก.ม. สิ้นเปลืองน้ำมัน 40 ซีซีถ้าร้อยละ 10 ของรถยนต์ทั่วประเทศ 5 ล้านคัน ขับรถโดยบรรทุกสิ่งของที่ไม่จำเป็น ใน 1 ปี จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 7.3 ล้านลิตร คิดเป็นเงิน 10.95 ล้านบาท10. ตรวจเช็คเครื่องยนต์เป็นประจำเปลี่ยนไส้กรองตามกำหนด เปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นทุก 5,000 กม. ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง และน้ำในแบตเตอรี่ ตรวจสอบระดับน้ำป้อนหม้อน้ำ ปรับปรุงสมรรถนะรถยนต์ให้ดีตลอดเวลา ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ร้อยละ 3- 9 ที่มาคู่มือรวมพลังหยุดรถซดน้ำมัน - PDF สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน
1 มกราคม 2557     |      3707
จากเศษกระดาษสีขาว สู่ต้นไม้สีเขียว
กระดาษมีส่วนสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไมได้ยิ่งมีความ ต้องการกระดาษมากขึ้นใด เราก็ต้องตัดต้นไม้หรือถากถางพื้นที่ป่าเพื่อปลูกต้นไม้โตเร็วสำหรับนำเยื่อ ไม้มาทำกระดาษมากขึ้นเท่านั้น ทุกวันนี้คนไทยใช้กระดาษเฉลี่ยคนละ 50 กิโลกรัม ต่อปี และมีอัตราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยทั่วประเทศมีความต้องการกระดาษทุกชนิดรวมกันประมาณ3.25ล้านตันต่อปี ในขณะที่มีกำลังผลิต4 ล้านตันต่อปี ในกระบวนการผลิตกระดาษ 1 ตันต้องใช้ต้นไม้มากถึง 17ต้น ใช้กระแสไฟฟ้ามากถึง 4,100 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ใช้น้ำถึง 31,500 ลิตร และปล่อยคลอรีนที่ใช้ในการฟอกกระดาษเป็นของเสียกว่า 7กิโลกรัม นั่นหมายความว่าในการสนองตอบความต้องการใช้กระดาษของคนไทยให้เพียงพอ เราต้องตัดต้นไม้ถึงปีละประมาณ 55 ล้านต้น สำหรับการผลิตกระแสไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์ ชั่วโมง จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.71 กิโลกรัมและต้นไม้ 1 ต้นดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ปีละ 15 กิโลกรัม ในความเป็นจริงแล้วเราทุกคนสามารถช่วยกันลดการตัดต้นไม้รวมทั้งการใช้น้ำและ พลังงานไฟฟ้า ในการผลิตกระดาษลงได้ด้วยการนำกระดาษที่ใช้แล้วหมุนเวียนกลับมาผลิตเป็น กระดาษใหม่ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ถึงร้อยละ 50 ซึ่งเป็นการช่วยลดปัญหาโลกร้อนไปในตัว รวมทั้งช่วยลดปริมาณขยะในสำนักงาน บ้านเรือน และกรุงเทพมหานครลงด้วย ในบรรดาขยะที่คนไทยเราทิ้งกันทุกวันนี้เฉลี่ยคนละ 1กิโลกรัมต่อวัน คิดขยะทั่วประเทศวันละ 40,000 ตัน หรือปีละ 14.6 ล้านตัน เฉพาะในกรุงเทพมหานครมีขยะเกือบ 10,000 ตันต่อวัน แต่สำนักงานกรุงเทพมหานครจัดเก็บได้ไม่หมด คงเหลือตกค้างตามที่ต่างๆ ส่งผลต่อสุขภาพอนามัยและเป็นมลภาวะต่อสภาพแวดล้อม โครงการกระดาษเพื่อต้นไม้เป็นโครงการที่รณรงค์และส่งเสริมให้มีการแยกแยะและ รวบรวมกระดาษที่ใช้แล้วในสำนักงาน และบ้านเรือนกลับมาใช้ใหม่เพื่อเป็นการลดการตัดต้นไม้ ปริมาณการใช้น้ำ พลังงาน และลดปริมาณขยะ ซึ่งเป็นอีกทางหนึ่งในการช่วยลดภาวะโลกร้อนโดยโครงการได้รณรงค์ระดมทุนโดย รับบริจาคกระดาษสำนักงานที่ใช้แล้วตามสำนักงานและหน่วยงานต่างๆในเขตกทม. ทางโครงการจะรวบรวมเพื่อนำไปขายให้กับโรงงานกระดาษเป็นวัตถุดิบในการ ผลิตกระดาษและนำกลับมาใช้ใหม่และ หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วทางโครงการจะ นำรายได้ไปจัดตั้งกองทุนกระดาษเพื่อต้นไม้ และสนับสนุนกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกิจกรรมขององค์กรชาวบ้าน องค์กรส่วนท้องถิ่นเพื่อเป็นการฟื้นฟูป่าไม้ให้อุดมสมบูรณ์ เช่น การปลูกป่าชุมชน การบวชป่า การปลูกป่าชายเลน การสร้างป่าดินให้คนจน เป็นต้น
1 มกราคม 2557     |      4670
เพราะ LEDแนวใหม่ เป็นทางเลือกในการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม
เทคโนโลยีของLEDชนิดใหม่นี้ คิดค้นโดย นาย สตีเวน เดนบาร์ ผู้สนับสนุนการนำ LED มาใช้แทนหลอดไฟทั่วไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก และนาย อลัน ฮีเกอร์ เจ้าของรางวัลโนเบล LEDนี้ เป็นผลงานวิจัยร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานต้าบาบาร่า และRensselaer Polytechnic Institute LEDแสงสีขาวที่ใช้อยู่ทั่วไปนั้น ในความเป็นจริงแล้ว สารกึ่งตัวนำจะปล่อยแสงสีฟ้า ซึ่งจะเดินทางผ่านสารเรืองแสงเพื่อให้แสงสีขาวออกมาแทน สารเรืองแสงนั้นจะเคลือบอยู่บนฐานซึ่งจะต้องถูกวางในมุมและตำแหน่งที่เหมาะ สมใกล้กับสารกึ่งตัวนำ เนื่องจากการติดตั้งสารเรืองแสงเป็นเรื่องที่ยากและต้องการความถูกต้องสูง การติดตั้งสารเรืองแสงจึงเป็นกระบวนการที่มีราคาแพงที่สุดในการผลิตLED และนั้นก็เป็นเหตุผลหนึ่งว่า ทำไมต้นทุนของหลอดLEDถึงมีราคาแพง หลอด LED จะเน้นเรื่องของการกระจายแสงที่ดี และการกินไฟต่ำเป็นหลัก โดยได้คุณภาพแสงที่สว่างสูง ซึ่งธรรมชาติของ LED นั้นจะส่องพุ่งเป็นลำกระจุกแค่30-45องศาเท่านั้น แต่เราเลือกใช้LEDคุณภาพระดับ premium grade ซึ่งให้มุมแสงกว้างถึง 120 องศา เพื่อให้ใกล้เคียงกับหลอดไฟทั่วไปที่สุด และมีอัตราการกินไฟที่ต่ำจนเหลือเชื่อ แต่ให้แสงสว่างสูงกว่าLEDทั่วไป โดยมีอัตราการกินไฟต่ำกว่า LED ทั่วๆไปมากกว่า50%
1 มกราคม 2557     |      3256
แปรซังข้าวโพดอัดเม็ดลดมลพิษ
มช.แปรรูปซังข้าวโพดด้วยเทคโนโลยี "เชื้อเพลิงอัดเม็ด" ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน พร้อมแก้ปัญหาหมอกควันจากการเผาทำลายซังข้าวโพด รศ.ดร.ประเสริฐ ฤกษ์เกรียงไกร ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เปิดเผยว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา จ.เชียงใหม่ประสบปัญหาหมอกควันที่เกิดจากไฟป่า การเผาทำลายเศษวัสดุทางการเกษตร เช่น ซังข้าวโพด ฟางข้าว กิ่งไม้ โดยเฉพาะที่ อ.แม่แจ่ม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ปลูกข้าวโพดสูงสุดใน จ.เชียงใหม่ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและการท่องเที่ยว สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ จึงมีแนวคิดในการนำซังข้าวโพดมาแปรรูปด้วยเทคโนโลยี "เชื้อเพลิงอัดเม็ด" โดยนำมาผ่านกระบวนการย่อยด้วยเครื่องสับย่อยซังข้าวโพดให้มีขนาดเหมาะสม สำหรับการอัดเม็ดด้วยเครื่องสับย่อยที่มีกำลังการผลิต 200 กิโลกรัม/ชั่วโมง และนำมาอัดแท่งด้วยเครื่องอัดเม็ดเชื้อเพลิงที่มีกำลังการผลิต 150-200 กิโลกรัม/ชั่วโมง ผลผลิตที่ได้สามารถนำมาเป็นเชื้อเพลิงที่ให้ประสิทธิภาพพลังงานในการเผาไหม้ และให้ปริมาณค่าความร้อนที่สูง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ลดค่าขนส่งเพราะเป็นเชื้อเพลิงอัดแท่งที่มีปริมาตรลดลง ที่สำคัญช่วยลดปัญหาการเผาทำลายซังข้าวโพดที่ก่อให้เกิดปัญหาหมอกควันด้วย.
1 มกราคม 2557     |      4273
ผุดกังหันลมเพื่อทิวทัศน์ ช่วยลดมลภาวะทางศิลปะ
กังหันลมที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าทุกวันนี้ แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในนวัตกรรมรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังไม่วายมีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง ทั้งเสียงความถี่ต่ำคล้ายเสียงลำโพงซับวูฟเฟอร์ที่สร้างความรำคาญให้กับผู้ ที่อยู่ใกล้เคียง ใบพัดขนาดใหญ่ที่ทำให้กินพื้นที่มาก ตลอดจนจำนวนมากมายของกังหันเหล่านี้ที่มักไปอยู่ในตำแหน่งเปิดโล่งเพื่อรับ ลม กลายเป็นมลภาวะทางทัศนียภาพไปโดยปริยาย ท่ามกลางภาวะน้ำมันแพง จากทั้งความวุ่นวายในตะวันออกกลาง ความต้องการที่พุ่งกระฉูด และความอนิจจังของน้ำมันในโลกที่คงต้องเหี้ยนเต้ไปในอีกไม่กี่ปี มนุษย์จำเป็นต้องพัฒนาพลังงานทางเลือกอื่นและลงมือให้ทุกอย่างเป็นรูปธรรม ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ เอ็น แอล อาจิเทค บริษัทสถาปนิกจากประเทศฮอลแลนด์ ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ และเสนอร่างแผน หรือ "คอนเซ็ปต์" การออกแบบสังคมในอนาคตที่เชื่อมต่อเข้ากับกังหันลมที่ได้รับการออกแบบใหม่ ให้ขจัดปัญหาข้างต้นออกไป และมีลักษณะกลมกลืนเข้ากับสภาพแวดล้อมเพื่อลดมลภาวะทิวทัศน์ กังหันลม "เอ๊ดดี้" ออกแบบมาให้เป็นกังหันแนวตั้งเพื่อลดข้อจำกัดเรื่องของพื้นที่ และด้วยขนาดที่เล็กกว่ากังหันแบบใบพัดขนาดใหญ่ทำให้เสียงความถี่ต่ำลดลงไป ด้วย อยู่ที่ 42.8 เดซิเบล หรือราวๆ เสียงตู้เย็นในบ้านทั่วไป โดยกังหันเอ๊ดดี้จะถูกติดตั้งไว้บนเสาที่ได้รับการออกแบบมาให้เลียนแบบลำต้น และกิ่งก้านสาขาของต้นไม้เพื่อเพิ่มความสวยงาม เรียกว่า "พาวเวอร์ ฟลาวเวอร์" หนึ่งต้นติดตั้งกังหันเอ๊ดดี้ได้ 12 ชุด ซึ่งจะได้รับการติดตั้งไว้ตามถนน หลังคาบ้าน ดาดฟ้าอาคาร และในสวนสาธารณะของชุมชนต่างๆ ในขนาดที่แตกต่างกัน ด้านบริษัทผู้ออกแบบ ระบุว่า กังหันเอ๊ดดี้นั้นติดตั้งง่าย ใช้เวลาในการประกอบไม่ถึง 1 ชั่วโมง ทนต่อความเร็วลมได้สูงสุด 54 เมตรต่อวินาที หรือ 193 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เทียบเท่ากับพายุเฮอริเคนระดับกลาง มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 20 ปี เอ๊ดดี้ 1 ชุด ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 13,000 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ภายใต้กระแสลมความเร็ว 5 เมตรต่อวินาที หรือ 18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนพาวเวอร์ ฟลาวเวอร์ ขนาดใหญ่สุดที่มีเอ๊ดดี้อยู่ 12 ชุด จะผลิตไฟฟ้าได้ราว 55,000 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ภายใต้ความเร็วลมเดียวกัน ในขั้นต่อไปคือ การนำคอนเซ็ปต์ไปประมวลตามข้อเท็จจริงทางด้านวิศวกรรม เพื่อประเมินว่าจะทำให้เป็นจริงได้อย่างไร ...ว่าแต่ถ้าเป็นจริงขึ้นมาได้ ไม่รู้จะรับกันได้หรือไม่ ถ้าต้องมีพาวเวอร์ ฟลาวเวอร์มาตั้งอยู่ข้างๆ บ้านตัวเอง
1 มกราคม 2557     |      4040
โรคร้ายจากภัยโลกร้อน
องค์การอนามัยโลกระบุว่า ปัญหาโลกร้อนใช่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังนำโรคร้ายสารพัดสารพันชนิดมาสู่เราโดยไม่รู้ตัว และนี่เป็นตัวอย่างโรคร้ายใกล้ตัวที่มากับโลกร้อนที่พึงรู้และตระหนักในพิษ ภัยเอาไว้ จะได้รับมือกับเจ้าตัวร้ายอย่างรู้เท่าทัน 1. ภาวะเป็นลมจากความร้อนสูงหรือโรคลมเหตุร้อน (Heat Stroke) อย่าเพิ่งชะล่าใจว่าเราเกิดและโตท่ามกลางสภาพอากาศร้อนอบอ้าว เพราะถ้าอุณหภูมิพุ่งขึ้นกว่านี้อีก 7 - 10 องศาเซลเซียส รวมถึงหากออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาในภาวะอากาศร้อนจัดนานๆ จนอุณหภูมิในร่างกายสูงเกินขีดจะทนทานไหว (พุ่งถึง 40 องศาเซลเซียส) ก็จะทำให้เกิด “ภาวะเป็นลมจากความร้อนสูง” ซึ่งน่าสะพรึงกลัวอยู่ไม่น้อย คนที่มีอาการสังเกตได้จากตัวจะร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ แม้ในตัวจะร้อน แต่กลับไม่มีเหงื่อออก นอกจากนี้ยังปวดศีรษะ วิงเวียน คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน และอาจถึงขั้นเกิดอาการช็อกอย่างเฉียบพลันถึงขั้นเสียชีวิตได้หากร่างกายสูญ เสียน้ำและเกลือแร่จนปรับตัวไม่ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอยู่ในบริเวณนั้นคนเดียว วิธีรับมือ : รีบนำผู้ป่วยเข้าที่ร่ม นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง คลายเสื้อผ้าเพื่อระบายความร้อน ประคบผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งที่ศีรษะ ซอกตัว คอ รักแร้ เชิงกราน พร้อมใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน อย่านิ่งนอนใจ รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน . โรคหัวใจ บางคนอาจสงสัยว่าโรคหัวใจเกี่ยวข้องอย่างไรกับโลกร้อน ทั้งนี้แพทย์แห่งสถาบันคาโรลินสกา สวีเดน ชี้ว่า เพียงโลกร้อนขึ้นอีกไม่กี่องศา อาจทำให้มีผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจมากขึ้น เพราะเมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นก็จะขับเหงื่อออกมาเพื่อบรรเทาความร้อน ส่งผลให้เลือดไหลเวียนมากขึ้น หัวใจของเราจึงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดให้ไหลเวียนทั่วร่างกาย ยิ่งถ้าคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว รวมถึงคนสูงวัยที่ระบบการเต้นของหัวใจมีปัญหา อากาศร้อนจะเป็นเพชฌฆาตที่คร่าชีวิตได้เลยทีเดียว ผู้เชี่ยวชาญยังระบุอีกว่า มลพิษทางอากาศจากปัญหาโลกร้อนก็เป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้ประชากรโลกป่วยเป็น โรคหัวใจมากขึ้นเนื่องจากการสูดดมอากาศพิษเข้าไปมากๆ ปอดจะปนเปื้อนด้วยสารพิษ ส่งผลต่อการทำงานของระบบหัวใจโดยตรง วิธีรับมือ : หลีกเลี่ยงการทำให้หัวใจทำงานเร็วผิดปกติจากปัจจัยข้างต้น งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวมากๆ เพราะแอลกอฮอล์จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น ร่างกายปรับสภาพไม่ทันถึงขั้นเกิดภาวะช็อกได้ 3. ไข้สมองอักเสบ โรคไข้สมองอักเสบมีหลายชนิด แต่ที่พบในไทยส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส JapaneseEncephalitis (JE) ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต โดยอัตราการป่วยตายอยู่ในช่วงร้อยละ 20 - 30 พาหะนำโรคร้ายนี้คือยุงรำคาญ (ที่เติบโตและขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วเมื่ออุณหภูมิโลกร้อนขึ้น) ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการในเบื้องต้น ต่อมาจะมีไข้ ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ ง่วงซึม เกร็ง ชักกระตุก หายใจไม่สม่ำเสมอ และในรายที่รุนแรงมากอาจเสียชีวิตในวันที่ 7 - 9 หลังการได้รับเชื้อ แม้ผ่านพ้นระยะนี้ไปได้จะเข้าสู่ระยะฟื้นตัวในช่วง 4 - 7 สัปดาห์ แต่เมื่อหายแล้วผู้ป่วยราวร้อยละ 60 จะมีความพิการเหลืออยู่ เช่น เป็นอัมพาตแบบแข็งเกร็งสมองเสื่อม วิธีรับมือ : ยังไม่มียารักษาเป็นการเฉพาะ มีเพียงการรักษาแบบประคับประคองตามอาการเท่านั้น บางรายต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกยุงกัดในช่วงพลบค่ำเป็นดีที่สุด 4. อาหารเป็นพิษ ดูจะเป็นโรคที่แสนธรรมดาและเชื่อว่าหลายคนคุ้นเคย แต่โรคนี้ก็ติดโผด้วย เพราะในสภาพที่อากาศร้อนขึ้น แบคทีเรียจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อมีปริมาณมากพอก็จะทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีเชื้อแบคทีเรียปน เปื้อนอยู่เกิดอาการป่วย เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน มีไข้ ถ่ายเหลว บางรายมีอาการลำไส้อักเสบและปวดเมื่อยตามเนื้อตัว วิธีรับมือ : ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงและกินอาหาร ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุกทุกครั้ง หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือขนมค้างคืนที่ผสมกะทิ ล้างผักผลไม้ด้วยน้ำไหล หรือแช่ด่างทับทิมทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง เลี่ยงอาหารทะเลสุกๆ ดิบๆ หรืออาหารทะเลที่กินโดยไม่ผ่านการปรุงสุก (เมนูที่บีบมะนาวใส่โดยเข้าใจว่าอาหารสุกเพราะสีของเนื้อ) 5. ภูมิแพ้จากไรฝุ่น ผศ.นพ. เฉลิมชัย บุญะลีพรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระบุว่า คนจะเป็นโรคภูมิแพ้จากไรฝุ่นมากขึ้น เพราะยุงและแมลงเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคมากขึ้น ทั้งนี้ไรฝุ่นชอบอยู่ในที่ร้อนและชื้น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ไรฝุ่นจะยิ่งเพิ่มปริมาณ จึงไม่น่าแปลกใจที่ในปัจจุบันคนไทยวัยผู้ใหญ่เป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูก (โรคหวัดเรื้อรังจากภูมิแพ้) เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวเมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อน วิธีรับมือ : ในเบื้องต้นให้เลี่ยงสิ่งที่แพ้ อาทิ ควันบุหรี่ หรือแพ้ฝุ่น หลีกเลี่ยงการนอนน้อยเกินไป (น้อยกว่า 6 ชั่วโมง) หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ในกรณีที่เป็นบ่อยๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาด้วยยารับประทานหรือยาพ่นจมูก
1 มกราคม 2557     |      4332
ทั้งหมด 1 หน้า