ส้วมเฉพาะกิจ ปลดทุกข์ ผู้ประสบภัยน้ำท่วม
 จากสถานการณ์น้ำท่วมที่กำลังวิกฤติอย่างมากในขณะนี้ ส่งผลให้บรรดาประชาชนหลายภูมิภาคต่างเดือดร้อน ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย การคมนาคม บ้านเรือนเสียหาย ที่ทำมาหากิน ต่างจมหายลงไปในพริบตา... และถึงแม้ว่า จะมีธารน้ำใจหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งเงินทอง ทั้งอาหารที่มาช่วยบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ประสบภัย แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมต้องการมากพอ ๆ กับอาหาร และที่อยู่อาศัย นั่นก็คือ "ห้องน้ำ"           ...ผู้ประสบภัยจะทราบกันเป็นอย่างดีว่า เวลาน้ำท่วม การขับถ่าย จะเป็นไปอย่างยากลำบาก ทั้งปัญหาน้ำในส้วมล้นเอ่อขึ้นมา บางบ้านห้องน้ำถูกน้ำท่วมจนมิดไม่สามารถขับถ่ายได้  วันนี้คุณ Diamondoid แห่งเว็บไซต์พันทิป ได้มีไอเดียมาเนรมิต "ส้วมเฉพาะกิจ" แบบง่าย ๆ มาแนะนำให้ผู้ประสบภัยกันค่ะ งบประมาณของ "ส้วมเฉพาะกิจ" สนนราคาอยู่ที่ 200 บาท โดยมีอุปกรณ์ และวิธีการทำดังต่อไปนี้... เก้าอี้พลาสติกไม่มีพนักพิง (ที่รองรับน้ำหนักได้ และมั่นคง)  1 ตัว ถุงดำขนาด 30x40 นิ้ว จุลินทรีย์ EM สำหรับดับกลิ่น 1 ขวด กระดาษทิชชู่ ตัวหนีบ 4 ตัว ยางรัด
1 มกราคม 2557     |      3666
การขับรถลุยน้ำท่วมให้ปลอดภัย
ก่อนอื่นถ้าต้องลุยน้ำจริงๆ เราควรคะเนระดับน้ำคร่าวๆ และพิจารณาความสูงของรถคุณเองว่าน่าจะฝ่าไปได้ไหม ซึ่งถ้าเป็นรถเก๋งบ้านๆทั่วไป แล้วน้ำสูงประมาณ 5 - 10 ซม. ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าสูงกว่านั้นหรือเริ่มปิ่มๆท่อไอเสียก็ต้องระวังแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับแรกคือปิดแอร์ เพราะถ้าพัดลมแอร์ทำ งานอยู่ มันจะพัดน้ำที่อยู่บนถนนกระจายไปทั่วห้องเครื่อง ส่งผลให้เครื่องยนต์ดับได้ ขณะเดียวกันช่วงน้ำท่วมมักมีเศษขยะต่างๆลอยน้ำมา แล้วอาจเข้าไปพันติดกับมอเตอร์พัดลม หรือเกี่ยวใบพัดจนเสียหาย ส่งผลต่อระบบระบายความร้อนในเครื่องยนต์ได้เช่นกัน....ที่สำคัญควรขับช้าๆ ใช้เกียร์ต่ำ หรือถ้ารถเป็นเกียร์อัตโนมัติก็เลื่อนไปที่เกียร์ L และต้องเลี้ยงรอบให้นิ่งที่สุดประมาณ 1,500 รอบ ต่อนาที ส่วนบางคนที่กลัวว่าน้ำจะเข้าท่อไอเสีย แล้วยิ่งเร่งเครื่องยนต์เพราะกลัวเครื่องดับนั้นต้องบอกว่าอย่าเด็ดขาด! ไม่เช่นนั้นพวกคลื่นน้ำที่เราดันไปข้างหน้า อาจทะลักกลับมายังห้องเครื่องได้ ซึ่งในความเป็นจริง ถ้าน้ำทะลักเข้าไปยังท่อไอเสียบ้างเครื่องยนต์ยังไม่ดับ เพราะที่รอบเดินเบา ท่อไอเสียจะมีแรงดันให้น้ำออกมาได้สบาย แต่ถ้าท่วมมิดหรือระดับน้ำสูงถึงเครื่องยนต์หรือฝากระโปรงอย่างนั้นไม่รอด แน่นอน ขณะเดียวกันหากขับรถผ่านน้ำท่วมจนถึงจุดหมายแล้ว ก็ไม่ควรดับเครื่องยนต์ทันที ควรทิ้งไว้สักพักเพื่อให้น้ำที่อาจจะค้างอยู่ในหม้อพักไอเสียระเหยออกให้หมด นอกจากนั้นควรย้ำเบรก (สำหรับรถเกียร์อัตโนมัติ) เพื่อไล่น้ำออกจากระบบเบรก และย้ำคลัทซ์(ในรถเกียร์ธรรมดา)เพื่อป้องกันคลัทซ์ลื่น ส่วนใครที่นำรถไปลุยน้ำ แล้วรุ่งเช้าพบอาการเบรกติด ก็ให้ลองสตาร์ทเครื่อง แล้วเข้าเกียร์หนึ่ง เดินหน้าไปเล็กน้อย จากนั้นกระทืบเบรกให้แรงที่สุด จากนั้นก็ทำแบบนี้อีกครั้งแต่เปลี่ยนเป็นเข้าเกียร์ถอยหลัง ทำสลับกันไปเรื่อยๆ จนอาการหาย แต่ถ้าไม่หายหรือมีอาการผิดสังเกต ก็รีบนำเข้าศูนย์บริการโลด! เอาเป็นว่าถ้าเจอน้ำท่วมเลี่ยงได้ก็เลี่ยง แต่ถ้าต้องลุยก็นำวิธีการข้างต้นไปลองใช้ พร้อมหมั่นตรวจเช็ครถอย่างสม่ำเสมอแล้วกันนะครับ……
10 พฤศจิกายน 2554     |      2370
ทำอย่างไรเมื่อรถตกน้ำ....
เมื่อรถตกน้ำ ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุแล้วตกลงไปในแม่น้ำ ลำคลองใดๆ ก็ตาม รถจะไม่ตกลงไปใน น้ำแล้วจมทันที เหมือนหิน ตกน้ำ แต่จะค่อยๆ จมลงทีละน้อยๆ จนกว่าจะถึง พื้นล่างและในนาทีวิกฤตนี้ควรตั้งสติให้ดี และ ปฏิบัติดังต่อไปนี้ 1. ปลด SAFETY BELT ออกทุกๆคน รวมทั้งผู้โดยสารด้วย2. อย่าออกแรงใดๆ เพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด 3. ให้ยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในรถ 4. ปลดล็อกประตูรถทุกบาน 5. หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถเพื่อปรับความดัน! ในรถและนอกรถให้เท่ากันมิฉะนั้นท่านจะเปิดประตูรถไม่ออกเพราะน้ำจากภายนอกตัวรถ จะดันประตูไว้ 6. เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้วให้ผลักบานประตูออกให้กว้างสุด แล้วท่านก็ออกจากห้องโดยสารของ รถได้ 7. จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติ หรือจะว่ายน้ำขึ้นมาก็ได้ ในกรณีนี้หาก น้ำลึกมากๆอาจจะมองไม่เห็นว่า ทิศใดเหนือน้ำ ทิศใดใต้น้ำเพราะว่า มืดไปหมดไม่ควรใช้วิธีว่ายน้ำ เพราะอาจจะว่าย ไปในทิศทางที่ไม่ขึ้นเหนือน้ำ กรณีเช่นนี้ ควรปล่อยตัวให้ลอยขึ้นตามธรรมชาติ หรือ ลองเป่าปากดูว่า ฟองอากาศลอยไปในทิศทางใด ให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไป ก็จะไม่มี อาการ หลงน้ำ นอกจากนั้น ก่อนออกจากรถ หากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กๆ อาจจะหนีบ เด็กๆ นั้น ออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน ดังนั้นหากท่านปฏิบัติ ตามวิธีการเหล่านี้ ก็จะช่วยให้ชีวิตของท่าน ปลอดภัยได้ ในยามคับขัน
10 พฤศจิกายน 2554     |      3112
การควบคุมอารมณ์
อารมณ์  หมายถึง การแสดงออกของภาวะจิตใจที่ได้รับการกระทบหรือกระตุ้นให้เกิดมีการแสดงออกต่อสิ่งที่มากระตุ้น  อารมณ์สามารถจำแนกออกได้ 2 ประเภทใหญ่ คือ1. อารมณ์สุข   คือ อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากความสบายใจ หรือ ได้รับความสมหวัง2. อารมณ์ทุกข์  คือ อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากความไม่สบายใจ หรือ ได้รับความไม่สมหวังผลแห่งอารมณ์ ไม่ว่าอารมณ์สุข หรือ อารมณ์ทุกข์ จะทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปจากปกติและจะมีการแสดงออกของพฤติกรรมและความรู้สึกตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น1. องค์ประกอบของอารมณ์อารมณ์จะประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ  คือ1. องค์ประกอบด้านสรีระ (Physiological  dimension) หมายถึง  การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ  ทางร่างกายที่จะต้องเกิดขึ้นควบคู่กับปฏิกิริยาทางอารมณ์  เช่น  หัวใจเต้นเร็ว  เหงื่อออกตามร่างกาย  หรือ  ใบหน้าร้อนผ่าว  เป็นต้น   อารมณ์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระได้มากที่สุดคือ  อารมณ์กลัว  และ  อารมณ์โกรธ   อารมณ์กลัวจะก่อให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมน แอดรีนาลีนจากต่อมแอดรีนัล (Adrenal gland)    ส่วนอารมณ์โกรธ  จะก่อให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมน นอร์แอดรีนาลีน (Noradrenalin) 2. องค์ประกอบทางด้านการนึกคิด (Cognitive dimension)  หมายถึง  การมีปฏิกิริยาด้านจิตใจที่เกิดขึ้นต่อสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่และเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมา   เช่น  ชอบ -ไม่ชอบ  หรือ  ถูกใจ- ไม่ถูกใจ  เป็นต้น3. องค์ประกอบทางด้านการมีประสบการณ์ (Experiential dimension)  หมายถึง  การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของแต่ละบุคคลซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปอารมณ์เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถสัมผัสและสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน  แต่เราสามารถรู้สึกถึงสภาวะทางอารมณ์ของบุคคลที่แวดล้อมเราอยู่ได้  เช่น  อาจสังเกตได้จากพฤติกรรมที่มิได้แสดงออกเป็นภาษาหรือคำพูด (Nonverbal language)  เช่น  การแสดงออกทางสีหน้า  ท่าทาง  แต่อาจเกิดความสับสนในการตีความหมายได้  เพราะสังคมแต่ละแห่งอาจมีการแสดงออกทางอารมณ์ที่ไม่เหมือนกัน  เช่น การแลบลิ้นให้  บางกลุ่มชนจะถือว่าเป็นการทักทาย  แต่ในสังคมจีน  ถือว่าเป็นการแสดงอารมณ์แปลกใจ  หรือประหลาดใจ  เป็นต้นอารมณ์ของมนุษย์จะเริ่มมีขึ้นนับตั้งแต่เกิด  ซึ่งนักจิตวิทยาพบว่าอารมณ์แรกของมนุษย์นั้นคือ  อารมณ์ตื่นเต้น  ทารกอายุ  3  เดือน จะมีเพียง  อารมณ์เศร้า และอารมณ์ดีใจ  ส่วนอารมณ์ที่มีความสลับซับซ้อนจะปรากฏมากขึ้นตามวุฒิภาวะ  อารมณ์ก้าวร้าวและรุนแรงเป็นผลมาจากการที่บุคคลเกิดความคับข้องใจหรือความรู้สึกว่าตนถูกกดขี่อยู่ตลอดเวลา  ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงต้องเรียนรู้วิธีการควบคุมอารมณ์ของตนให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ที่สังคมแต่ละแห่งได้กำหนดไว้  ก็จะทำให้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขยิ่งขึ้น 2. การควบคุมอารมณ์และการจัดการอารมณ์      ในวัน ๆ หนึ่ง เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าเราจะได้เจอกับอารมณ์ที่เข้ามาให้เรารับรู้อย่างไรบ้าง แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อสิ่งนั้นๆ เข้ามาให้เรารับรู้แล้ว เราจะมีอารมณ์และความนึกคิด ที่จะแสดงพฤติกรรมโต้ตอบออกไปอย่างไร ฉะนั้นเมื่อเราไม่สามารถล่วงรู้สถานการณ์ได้ เราก็ควรหมั่นฝึกให้มีสติ คือระลึกรู้อยู่เสมออย่าประมาณในการดำเนินชีวิต เมื่อมีอะไรเข้ามากระทบทำให้เราเกิดความคิดและอารมณ์ที่ไม่ดี ก็ควรจะใช้สติในการขบคิดพิจารณา เพื่อให้เราเท่าทัน และไม่ต้องตกเป็นทาสของอารมณ์นั้น  โดยการกำหนดอารมณ์และความรู้สึกของเราไม่ให้ส่งผลไปถึงการแสดงออกในทางที่ไม่เหมาะไม่ควร   วิธีควบคุมอารมณ์ของเราอาจทำได้หลายวิธี ได้แก่1. ให้มีสติอยู่เสมอเพื่อควบคุมอารมณ์ที่รุนแรงให้คลายลง  เช่น  อารมณ์วิตกกังวล  อารมณ์โกรธ  อิจฉาริษยา    การใช้อารมณ์ของคน  หากใช้เพียงเล็กน้อยแล้วพยายามควบคุมมันให้ได้โดยใช้  “สติ”  หรือหลักธรรมะเข้ามาช่วยในการเผชิญกับเหตุการณ์หรือปัญหาต่าง ๆ  ก็จะทำให้เหตุการณ์หรือปัญหาต่าง ๆ นั้นเป็นไปในทางที่ดีขึ้นได้  ในทางตรงกันข้ามหากผู้ใดใช้อารมณ์มากหรือรุนแรงเกินไป  ก็อาจจะทำให้เหตุการณ์หรือปัญหาต่าง ๆ  ที่เผชิญอยู่กลับเลวร้ายลงไปได้เช่นกัน2. ใช้คำพูดแสดงความรู้สึกแทนการกระทำ (เทคนิคการแสดงออกที่เหมาะสม)  เช่น  โกรธเพื่อนที่ผิดนัด  ไม่ควรแสดงออกโดยการตำหนิดุด่าแต่ควรใช้คำพูดแทนว่า  “ฉันโกรธมากที่เธอผิดนัดเมื่อวาน”  หรือ  ถูกเพื่อนตำหนิบางเรื่องที่ทำให้โกรธ  ก็ไม่ควรแสดงออกโดยการทะเลาะกับเพื่อน  แต่ควรใช้คำพูดแทนว่า “คำพูดของเธอทำให้ฉันรู้สึกโกรธมากและมันจะทำลายความเป็นเพื่อนของเราด้วย”  เป็นต้น3. ให้ยืดเวลาออกไปก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป  หรือพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์รุนแรงหรืออารมณ์เสีย   บางคนอาจใช้วิธีการนับหนึ่งถึงสิบ หรือถึงร้อยในใจเพื่อยึดเวลาให้อารมณ์ที่รุนแรงลดลง  จะช่วยให้การแสดงออกที่รุนแรงลดลงไปได้   หรืออาจจะใช้วิธีออกจากเหตุการณ์ตรงนั้นไปก่อน  รอให้อารมณ์ลดความรุนแรงลงแล้วจึงกลับมาเผชิญเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง ก็จะทำให้เรามีสติมากขึ้นในการตัดสินใจกระทำสิ่งต่าง ๆ ลงไป4. ใช้การข่มใจ  การให้อภัยและมองโลกในแง่ดี   ให้คิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นถ้าเราแสดงอะไรออกไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรง   รู้จักให้อภัยและพยายามฝึกมองสิ่งที่เกิดขึ้นต่าง ๆ ในด้านดีเสมอถ้าทำได้  จะทำให้เรามีอารมณ์ที่เป็นสุขมากยิ่งขึ้น  หรือถ้าข่มใจไม่อยู่จริง ๆ  ก็อาจใช้วิธีระบายออกโดยการเลี่ยงไปแสดงออกกับสิ่งอื่น ๆ แทนก็ได้  เช่น  เขียนระบายอารมณ์  ในกระดาษ  แอบร้องไห้ปลดปล่อยอารมณ์  หรือต่อยตีกระสอบทราย  (อาจใช้ตุ๊กตาแทน)  แต่อย่าให้กลายเป็นการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น5. เมื่อมีเรื่องทุกข์ใจหรือเครียดควรปรึกษาเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้หรือผู้ใหญ่ที่เราให้ความเคารพนับถือ    การที่คนเรามีความทุกข์หรือความเครียดแล้วเก็บกดไว้ในใจตนเองอยู่เสมอ  เปรียบเสมือนลูกโป่งที่ถูกอัดอากาศเข้าไปเรื่อย ๆ  หากไม่มีการปลดปล่อยลมออกมาเสียบ้าง ไม่นานลูกโป่งก็จะแตก  เช่นเดียวกันหากคนเรามีแต่ความทุกข์เก็บสะสมไว้มากเกินไป  สักวันหนึ่งก็อาจจะกลายเป็นโรคประสาท หรือโรคจิตต่อไปได้  จึงควรปลดปล่อยความทุกข์ที่มีอยู่ออกไปเสียบ้าง คนที่ควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติได้เร็วจะช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขยิ่งขึ้นและจะส่งผลให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวมีความสุขไปด้วย2. การควบคุมอารมณ์และการจัดการอารมณ์ในวัน ๆ หนึ่งเราไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าเราจะได้เจอกับอารมณ์ที่เข้ามาให้เรารับรู้อย่างไรบ้างแล้วเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อสิ่งนั้นๆ เข้ามาให้เรารับรู้แล้ว เราจะมีอารมณ์และความนึกคิดที่จะแสดงพฤติกรรมโต้ตอบออกไปอย่างไรฉะนั้นเมื่อเราไม่สามารถล่วงรู้สถานการณ์ได้เราก็ควรหมั่นฝึกให้มีสติ คือระลึกรู้อยู่เสมออย่าประมาณในการดำเนินชีวิตเมื่อมีอะไรเข้ามากระทบทำให้เราเกิดความคิดและอารมณ์ที่ไม่ดีก็ควรจะใช้สติในการขบคิดพิจารณาเพื่อให้เราเท่าทันและไม่ต้องตกเป็นทาสของอารมณ์นั้นโดยการกำหนดอารมณ์และความรู้สึกของเราไม่ให้ส่งผลไปถึงการแสดงออกในทางที่ไม่เหมาะไม่ควรวิธีควบคุมอารมณ์ของเราอาจทำได้หลายวิธี ได้แก่1. ให้มีสติอยู่เสมอเพื่อควบคุมอารมณ์ที่รุนแรงให้คลายลงเช่นอารมณ์วิตกกังวลอารมณ์โกรธอิจฉาริษยาการใช้อารมณ์ของคนหากใช้เพียงเล็กน้อยแล้วพยายามควบคุมมันให้ได้โดยใช้สติหรือหลักธรรมะเข้ามาช่วยในการเผชิญกับเหตุการณ์หรือปัญหาต่าง ๆก็จะทำให้เหตุการณ์หรือปัญหาต่าง ๆ นั้นเป็นไปในทางที่ดีขึ้นได้ในทางตรงกันข้ามหากผู้ใดใช้อารมณ์มากหรือรุนแรงเกินไปก็อาจจะทำให้เหตุการณ์หรือปัญหาต่าง ๆที่เผชิญอยู่กลับเลวร้ายลงไปได้เช่นกัน2. ใช้คำพูดแสดงความรู้สึกแทนการกระทำ (เทคนิคการแสดงออกที่เหมาะสม)เช่นโกรธเพื่อนที่ผิดนัดไม่ควรแสดงออกโดยการตำหนิดุด่าแต่ควรใช้คำพูดแทนว่าฉันโกรธมากที่เธอผิดนัดเมื่อวานหรือถูกเพื่อนตำหนิบางเรื่องที่ทำให้โกรธก็ไม่ควรแสดงออกโดยการทะเลาะกับเพื่อนแต่ควรใช้คำพูดแทนว่า คำพูดของเธอทำให้ฉันรู้สึกโกรธมากและมันจะทำลายความเป็นเพื่อนของเราด้วยเป็นต้น3ให้ยืดเวลาออกไปก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไปหรือพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์รุนแรงหรืออารมณ์เสียบางคนอาจใช้วิธีการนับหนึ่งถึงสิบ หรือถึงร้อยในใจเพื่อยึดเวลาให้อารมณ์ที่รุนแรงลดลงจะช่วยให้การแสดงออกที่รุนแรงลดลงไปได้หรืออาจจะใช้วิธีออกจากเหตุการณ์ตรงนั้นไปก่อนรอให้อารมณ์ลดความรุนแรงลงแล้วจึงกลับมาเผชิญเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง ก็จะทำให้เรามีสติมากขึ้นในการตัดสินใจกระทำสิ่งต่าง ๆ ลงไป4. ใช้การข่มใจการให้อภัยและมองโลกในแง่ดีให้คิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นถ้าเราแสดงอะไรออกไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรงรู้จักให้อภัยและพยายามฝึกมองสิ่งที่เกิดขึ้นต่าง ๆ ในด้านดีเสมอถ้าทำได้จะทำให้เรามีอารมณ์ที่เป็นสุขมากยิ่งขึ้นหรือถ้าข่มใจไม่อยู่จริง ๆก็อาจใช้วิธีระบายออกโดยการเลี่ยงไปแสดงออกกับสิ่งอื่น ๆ แทนก็ได้เช่นเขียนระบายอารมณ์ในกระดาษแอบร้องไห้ปลดปล่อยอารมณ์หรือต่อยตีกระสอบทราย(อาจใช้ตุ๊กตาแทน)แต่อย่าให้กลายเป็นการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น5เมื่อมีเรื่องทุกข์ใจหรือเครียดควรปรึกษาเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้หรือผู้ใหญ่ที่เราให้ความเคารพนับถือการที่คนเรามีความทุกข์หรือความเครียดแล้วเก็บกดไว้ในใจตนเองอยู่เสมอเปรียบเสมือนลูกโป่งที่ถูกอัดอากาศเข้าไปเรื่อย ๆหากไม่มีการปลดปล่อยลมออกมาเสียบ้าง ไม่นานลูกโป่งก็จะแตกเช่นเดียวกันหากคนเรามีแต่ความทุกข์เก็บสะสมไว้มากเกินไปสักวันหนึ่งก็อาจจะกลายเป็นโรคประสาท หรือโรคจิตต่อไปได้จึงควรปลดปล่อยความทุกข์ที่มีอยู่ออกไปเสียบ้าง คนที่ควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติได้เร็วจะช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขยิ่งขึ้นและจะส่งผลให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวมีความสุขไปด้วย
1 มกราคม 2557     |      3727
การลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า 54
ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านตามทะเบียนบ้าน แต่ต้องเดินทางออกนอกเขต และไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ในวันเลือกตั้ง สามารถไปแสดงตนเพื่อขอลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. ล่วงหน้า  ที่เลือกตั้งกลางในเขตเลือกตั้งนั้นๆ  โดยต้องยื่นคำขอลงทะเบียนนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่น ตามวันเวลาที่กำหนด ระยะเวลาการลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้ง ตั้งแต่วันที่ 13-17 มิถุนายน 2554 ณ ที่ว่าการอำเภอ และที่ทำการทะเบียนท้องถิ่น โดยยื่นต่อนายทะเบียนอำเภอ / นายทะเบียนท้องถิ่น (ผู้อำนวยการสำนักงานเขตของ กทม., นายอำเภอ หรือปลัดเทศบาล)การลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า นอกเขตจังหวัด ผู้ที่ประสงค์จะขอเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัดนั้น จะต้องลงทะเบียนการใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตจังหวัด (แบบ ส.ส. 42) ซึ่งสามารถขอรับได้ที่ว่าการอำเภอทุกแห่งหรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือก ตั้งประจำจังหวัด หรือ Download จากที่นี่ http://www2.ect.go.th/download.php?Province=mp54&SiteMenuID=7128ทั้งนี้ ประชาชนสามารถยื่นเอกสารขอเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัดรวมกันเป็นกลุ่มได้ โดยใช้คำแบบ ส.ส.42/ก หรือ ทำเป็นหนังสือที่มี ชื่อ-สกุล เลขประจำตัวประชาชน ที่อยู่ตามหลักฐานทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้ง และจังหวัดที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านครั้งสุดท้ายเป็นเวลาไม่น้อย กว่า 90 วัน วิธีการยื่นคำขอลงทะเบียนนอกเขตจังหวัด      - ยื่นต่อนายทะเบียนอำเภอ / นายทะเบียนท้องถิ่น (ผู้อำนวยการสำนักงานเขตของ กทม., นายอำเภอ หรือปลัดเทศบาล)      - ยื่นด้วยตนเอง      - ทำหนังสือมอบหมายให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอื่นดำเนินการแทน      - ส่งทางไปรษณีย์ (ดูตราประทับต้นทางเป็นสำคัญ) ระยะเวลาการลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตเลือกตั้ง      - วันที่ 19 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2554
1 มกราคม 2557     |      4789
10 บัญญัติ การประหยัดน้ำมัน
1. ขับรถไม่เกิน 90 ก.ม./ชม.ความเร็วสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้ ทางธรรมดา 90 กม./ชม. ทางด่วน 110 กม./ชม. มอเตอร์เวย์ 120 กม./ชม. 2. จอดรถไว้บ้าน โดยสารสาธารณะถ้าผู้ใช้รถยนต์ร้อยละ 1 จากจำนวน 5 ล้านคัน หันมาใช้บริการรถสาธารณะ ด้วยระยะทาง 48 กม./วัน ใน 1 ปี (260 วันทำงาน) จะประหยัดน้ำมัน 52 ล้านลิตร คิดเป็นค่าน้ำมัน 780 ล้านบาท 3. ไม่ขับก็ดับเครื่องการติดเครื่องยนต์จอดอยู่เฉยๆ เป็นเวลา 5 นาที สิ้นเปลืองน้ำมันโดยเปล่าประโยชน์ 500 ซีซี 4. ทางเดียวกันไปด้วยกันถ้าขับรถยนต์ 5 คัน ไปทางเดียวกัน ที่หมายใกล้กัน ระยะทาง 48 กม./คัน (ไป-กลับ) ใน 1 ปี (260 วันทำงาน) จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 5,200 ลิตร คิดเป็นค่าน้ำมัน 78,000 บาทถ้าร้อยละ 1 ของรถยนต์ 5 ล้านคัน ใช้ Car Pool สลับขับ 5 คน ต่อรถ 1 คัน ใน 1 ปี จะประหยัดน้ำมันได้ 41.6 ล้านลิตร คิดเป็นเงิน 624 ล้านบาท5. หลีกเลี่ยงชั่วโมงเร่งด่วนถ้ารถติดเพียงร้อยละ 1 ของ จำนวนรถยนต์ 5 ล้านคัน ในวันทำงานทุกวัน และในบางเสาร์-อาทิตย์ ใน 1 ปี (330 วัน/ปี) จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 12.4 ล้านลิตร คิดเป็นค่าน้ำมัน 186 ล้านบาท 6. ใช้โทรศัพท์-โทรสารเลี่ยงรถติดใช้อุปกรณ์สื่อสารแทนการเดินทาง เช่น ส่งหนังสือระหว่างหน่วยงาน หากเร่งด่วนก็ใช้วิธีส่งทางโทรสาร หากเป็นเอกสารสำคัญก็ใช้วิธีรวบรวมเอกสารแล้วส่งพร้อมกัน หนังสือเวียนที่ไม่สำคัญก็ใช้วิธีส่ง E-Mail หรือส่งไปรษณีย์7. วางแผนก่อนเดินทางถ้าไม่ศึกษาเส้นทางก่อนเดินทาง และขับรถหลงทาง 10 นาที จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 500 ซีซี คิดเป็นค่าน้ำมัน 7.50 บาทถ้ารถยนต์ 5 ล้านคัน ขับหลงทาง เฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง ใน 1 ปี จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 30 ล้านลิตร คิดเป็นค่าน้ำมัน 450 ล้านบาท8. ลมยางต้องพอดี ไส้กรองต้องสะอาดความดันลมยางอ่อนกว่ามาตรฐาน 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ถ้าขับทุกวันเฉลี่ยวันละ 48 กม. ใน 1 เดือน รถยนต์ - สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 2.4 ลิตร รถจักรยานยนต์ - สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 1.2 ลิตร รถบรรทุก - สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 4.2 ลิตรถ้าร้อยละ 30 ของรถแต่ละประเภท ละเลยเช่นนี้บ่อยๆ รวมเป็น 30 วัน/ปี จะสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 5.8 ล้านลิตร คิดเป็นเงิน 87 ล้านบาทถ้าไส้กรองสะอาด จะช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันวันละ 65 ซีซี ควรทำความสะอาดทุก 2,500 กม. ควรเปลี่ยนทุก 20,000 กม. 9. ไม่บรรทุกของเกินจำเป็นหากขับรถโดยบรรทุกของที่ไม่จำเป็น ประมาณ 10 ก.ก. เป็นระยะทาง 25 ก.ม. สิ้นเปลืองน้ำมัน 40 ซีซีถ้าร้อยละ 10 ของรถยนต์ทั่วประเทศ 5 ล้านคัน ขับรถโดยบรรทุกสิ่งของที่ไม่จำเป็น ใน 1 ปี จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 7.3 ล้านลิตร คิดเป็นเงิน 10.95 ล้านบาท10. ตรวจเช็คเครื่องยนต์เป็นประจำเปลี่ยนไส้กรองตามกำหนด เปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นทุก 5,000 กม. ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง และน้ำในแบตเตอรี่ ตรวจสอบระดับน้ำป้อนหม้อน้ำ ปรับปรุงสมรรถนะรถยนต์ให้ดีตลอดเวลา ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ร้อยละ 3- 9 ที่มาคู่มือรวมพลังหยุดรถซดน้ำมัน - PDF สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน
1 มกราคม 2557     |      3718
จากเศษกระดาษสีขาว สู่ต้นไม้สีเขียว
กระดาษมีส่วนสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไมได้ยิ่งมีความ ต้องการกระดาษมากขึ้นใด เราก็ต้องตัดต้นไม้หรือถากถางพื้นที่ป่าเพื่อปลูกต้นไม้โตเร็วสำหรับนำเยื่อ ไม้มาทำกระดาษมากขึ้นเท่านั้น ทุกวันนี้คนไทยใช้กระดาษเฉลี่ยคนละ 50 กิโลกรัม ต่อปี และมีอัตราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยทั่วประเทศมีความต้องการกระดาษทุกชนิดรวมกันประมาณ3.25ล้านตันต่อปี ในขณะที่มีกำลังผลิต4 ล้านตันต่อปี ในกระบวนการผลิตกระดาษ 1 ตันต้องใช้ต้นไม้มากถึง 17ต้น ใช้กระแสไฟฟ้ามากถึง 4,100 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ใช้น้ำถึง 31,500 ลิตร และปล่อยคลอรีนที่ใช้ในการฟอกกระดาษเป็นของเสียกว่า 7กิโลกรัม นั่นหมายความว่าในการสนองตอบความต้องการใช้กระดาษของคนไทยให้เพียงพอ เราต้องตัดต้นไม้ถึงปีละประมาณ 55 ล้านต้น สำหรับการผลิตกระแสไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์ ชั่วโมง จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.71 กิโลกรัมและต้นไม้ 1 ต้นดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ปีละ 15 กิโลกรัม ในความเป็นจริงแล้วเราทุกคนสามารถช่วยกันลดการตัดต้นไม้รวมทั้งการใช้น้ำและ พลังงานไฟฟ้า ในการผลิตกระดาษลงได้ด้วยการนำกระดาษที่ใช้แล้วหมุนเวียนกลับมาผลิตเป็น กระดาษใหม่ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ถึงร้อยละ 50 ซึ่งเป็นการช่วยลดปัญหาโลกร้อนไปในตัว รวมทั้งช่วยลดปริมาณขยะในสำนักงาน บ้านเรือน และกรุงเทพมหานครลงด้วย ในบรรดาขยะที่คนไทยเราทิ้งกันทุกวันนี้เฉลี่ยคนละ 1กิโลกรัมต่อวัน คิดขยะทั่วประเทศวันละ 40,000 ตัน หรือปีละ 14.6 ล้านตัน เฉพาะในกรุงเทพมหานครมีขยะเกือบ 10,000 ตันต่อวัน แต่สำนักงานกรุงเทพมหานครจัดเก็บได้ไม่หมด คงเหลือตกค้างตามที่ต่างๆ ส่งผลต่อสุขภาพอนามัยและเป็นมลภาวะต่อสภาพแวดล้อม โครงการกระดาษเพื่อต้นไม้เป็นโครงการที่รณรงค์และส่งเสริมให้มีการแยกแยะและ รวบรวมกระดาษที่ใช้แล้วในสำนักงาน และบ้านเรือนกลับมาใช้ใหม่เพื่อเป็นการลดการตัดต้นไม้ ปริมาณการใช้น้ำ พลังงาน และลดปริมาณขยะ ซึ่งเป็นอีกทางหนึ่งในการช่วยลดภาวะโลกร้อนโดยโครงการได้รณรงค์ระดมทุนโดย รับบริจาคกระดาษสำนักงานที่ใช้แล้วตามสำนักงานและหน่วยงานต่างๆในเขตกทม. ทางโครงการจะรวบรวมเพื่อนำไปขายให้กับโรงงานกระดาษเป็นวัตถุดิบในการ ผลิตกระดาษและนำกลับมาใช้ใหม่และ หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วทางโครงการจะ นำรายได้ไปจัดตั้งกองทุนกระดาษเพื่อต้นไม้ และสนับสนุนกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกิจกรรมขององค์กรชาวบ้าน องค์กรส่วนท้องถิ่นเพื่อเป็นการฟื้นฟูป่าไม้ให้อุดมสมบูรณ์ เช่น การปลูกป่าชุมชน การบวชป่า การปลูกป่าชายเลน การสร้างป่าดินให้คนจน เป็นต้น
1 มกราคม 2557     |      4677
เพราะ LEDแนวใหม่ เป็นทางเลือกในการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม
เทคโนโลยีของLEDชนิดใหม่นี้ คิดค้นโดย นาย สตีเวน เดนบาร์ ผู้สนับสนุนการนำ LED มาใช้แทนหลอดไฟทั่วไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก และนาย อลัน ฮีเกอร์ เจ้าของรางวัลโนเบล LEDนี้ เป็นผลงานวิจัยร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานต้าบาบาร่า และRensselaer Polytechnic Institute LEDแสงสีขาวที่ใช้อยู่ทั่วไปนั้น ในความเป็นจริงแล้ว สารกึ่งตัวนำจะปล่อยแสงสีฟ้า ซึ่งจะเดินทางผ่านสารเรืองแสงเพื่อให้แสงสีขาวออกมาแทน สารเรืองแสงนั้นจะเคลือบอยู่บนฐานซึ่งจะต้องถูกวางในมุมและตำแหน่งที่เหมาะ สมใกล้กับสารกึ่งตัวนำ เนื่องจากการติดตั้งสารเรืองแสงเป็นเรื่องที่ยากและต้องการความถูกต้องสูง การติดตั้งสารเรืองแสงจึงเป็นกระบวนการที่มีราคาแพงที่สุดในการผลิตLED และนั้นก็เป็นเหตุผลหนึ่งว่า ทำไมต้นทุนของหลอดLEDถึงมีราคาแพง หลอด LED จะเน้นเรื่องของการกระจายแสงที่ดี และการกินไฟต่ำเป็นหลัก โดยได้คุณภาพแสงที่สว่างสูง ซึ่งธรรมชาติของ LED นั้นจะส่องพุ่งเป็นลำกระจุกแค่30-45องศาเท่านั้น แต่เราเลือกใช้LEDคุณภาพระดับ premium grade ซึ่งให้มุมแสงกว้างถึง 120 องศา เพื่อให้ใกล้เคียงกับหลอดไฟทั่วไปที่สุด และมีอัตราการกินไฟที่ต่ำจนเหลือเชื่อ แต่ให้แสงสว่างสูงกว่าLEDทั่วไป โดยมีอัตราการกินไฟต่ำกว่า LED ทั่วๆไปมากกว่า50%
1 มกราคม 2557     |      3261
ทั้งหมด 11 หน้า